September 3, 2023
ใช้เวลาอ่าน 6 นาที
“Work Life Balance” เป็นแนวคิดการทำงานที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เห็นได้จากการที่ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น มีการขีดเส้นแบ่งเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนอย่างชัดเจน สำหรับใครที่สนใจในแนวคิดการทำงานนี้ และต้องการปรับสมดุลการใช้ชีวิตและการทำงานของตัวเองให้ลงตัว เพื่อการสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี Siam Okamura มี 9 วิธีสร้าง Work Life Balance ปรับสมดุลทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างลงตัวมาฝาก สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งเจ้าของธุรกิจและพนักงาน
Work Life Balance คือ แนวคิดการทำงานที่ให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป หรือทำงานนานเกินไปจนไม่ได้ใช้ชีวิตส่วนตัว หรือพูดคุยกับคนในครอบครัว โดยเฉพาะในผู้ที่ทำงานที่บ้าน ทั้งผู้ที่ทำงานประจำและฟรีแลนซ์
สำหรับ Work Life Balance ในมุมมองของคนทำงาน การทำงานหนักมากจนเกินไปย่อมเกิดการเสียสมดุลที่สามารถส่งผลกระทบในหลายด้าน ทั้งเรื่องของสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต ตลอดไปจนถึงการจัดการเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต ส่วนในมุมมองขององค์กรและบริษัท การที่พนักงานทุ่มเทการทำงานหนักนั้นเป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์ต่อองค์กรเป็นอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่พนักงานในองค์กรขาดการ Work Life Balance จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมขององค์กร หากต้องการให้เห็นภาพจะเปรียบเสมือนกับโดมิโนที่กำลังล้มต่อไปเรื่อย ๆ โดยเริ่มต้นจากสุขภาพของพนักงานที่เกิดจากการทำงานหนักมากเกินไป และปัญหาสุขภาพจิตใจของพนักงาน เช่น ความเครียด วิตกกังวล และภาวะหมดแรงบันดาลใจ
หากองค์กรสร้าง Work Life Balance ที่ดีให้กับพนักงานก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีงานวิจัยที่ศึกษาบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกากว่า 80% พบว่า “ผู้ที่ทำงานและเชื่อว่าตัวเองมี Work Life Balance ที่ดี จะทำงานหนักมากกว่า 21% เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีสมดุลที่ดีระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว”
เรื่องของการ Work Life Balance ยังมีความสอดคล้องกับความพึงพอใจในการทำงานของพนักงานอีกด้วย หากพนักงานรู้สึกถึงความพึงพอใจในองค์มากขึ้นเท่าไร พบว่ายิ่งมีแนวโน้มสูงมากในการที่พนักงานจะทำงานทุ่มเทเพื่อตอบแทนองค์กร
การทำงานโดยให้ความสำคัญกับ Work Life Balance มีประโยชน์หลายด้านมาก ดังนี้
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะสร้างความสมดุลการทำงานกับชีวิตด้านใดได้บ้าง เพื่อที่จะได้มี Work Life Balance เรามี 9 วิธีที่ช่วยปรับสมดุลการทำงานและชีวิตให้สมดุลได้อย่างง่าย ๆ สามารถทำตามได้เลย
การบริหารเวลาการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้มี Work Life Balance ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ที่ทำงานหนักเกินไป หรือทำงานนานเกินไปในแต่ละวัน มีสาเหตุมาจากการไม่จัดสรรเวลาทำงานให้ดี จนทำให้เวลาทำงานและเวลาส่วนตัวปะปนกันไปหมด โดยวิธีการบริหารเวลาทำงานได้ง่าย ๆ ดังนี้
นอกจากการบริหารเวลาทำงานแล้ว การจัดโต๊ะทำงานและเก้าอี้ทำงานให้ถูกหลัก Ergonomics ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะต่อให้จัดสรรเวลาดีแค่ไหน แต่ถ้านั่งทำงานด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้องตลอดเวลา ก็ไม่ช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น การจัดโต๊ะทำงานให้ถูกหลัก Ergonomics สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเลือกโต๊ะทำงานและเก้าอี้ทำงานที่มีลักษณะดังนี้
การปรับแสงสว่างในห้องทำงานให้พอดีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะคนที่ทำงานที่บ้านที่ชอบทำงานในที่มืด โดยควรใช้แสงสว่างประมาณ 400 – 600 ลักซ์ เพื่อให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ทำให้สายตาเสีย ไม่ทำให้ปวดศีรษะ ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และกระฉับกระเฉงมากขึ้น
สำหรับท่านั่งทำงานที่ต้องตามหลักการยศาสตร์นั้น มีรายละเอียดดังนี้
เมื่อถึงเวลาพักผ่อนก็ควรที่จะพักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่ควรนำงานกลับมาทำต่อที่บ้าน หรือนำงานมาทำในวันหยุด เพราะจะทำให้ร่างกายและสมองไม่ได้พัก ต้องคิดเรื่องงานอยู่ตลอดเวลา และสะสมความเครียดขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะความเครียดเรื้อรัง หรือภาวะหมดไฟได้
เมื่อถึงเวลาพักผ่อนแล้ว หลาย ๆ คน มักเลือกที่จะนอนหลับพักผ่อน และเพิกเฉยการออกกำลังกายไป ทั้ง ๆ ที่การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3 – 5 วันต่อสัปดาห์ หรือ 150 นาทีต่อสัปดาห์ จะช่วยให้มีสุขภาพร่างที่แข็งแรง กระปรี้กระเปร่า และช่วยผ่อนคลายความเครียดได้มาก สำหรับใครที่อยากมี Work Life Balance ที่ดี อย่าลืมที่จะใส่ใจกับการดูแลสุขภาพร่างกายของตนเอง โดยการออกกำลังกายเป็นประจำ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอ รับรองว่าจะช่วยให้มีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง พร้อมที่จะทำงานในวันต่อ ๆ ไปอย่างแน่นอน
เพราะชีวิตของคนเราไม่ได้มีแค่เรื่องงานเท่านั้น แต่เรายังต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว คนรัก หรือแฟน ดังนั้นคนที่ต้องการปรับสมดุลชีวิตและการทำงาน ก็ควรที่จะเริ่มให้ความสำคัญกับคนรอบตัวมากขึ้น โดยการแบ่งเวลามาใช้กับคนรอบตัวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ และช่วยบรรเทาความเครียดได้มาก
การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างเหมาะสมนั้น ไม่ใช่ว่าใครมาขอให้เราช่วยเหลืออะไรก็ทำให้จนหมด จนทำให้งานของตัวเองหนักมากขึ้น หรือไม่พูดคุยกับใครเลยจนขาดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน แต่ควรที่จะเรียนรู้การปฏิเสธ และต่อรองขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานอย่างพอดี ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
สำหรับใครที่ยังรู้สึกเครียดกับงานอยู่ แม้ว่าจะจัดตารางเวลาการทำงานอย่างดี หรือจัดสภาพแวดล้อมการทำงานอย่างเหมาะสมแล้วก็ตาม การหางานอดิเรกทำในวันหยุด เช่น อ่านหนังสือ ทำขนม วาดรูป เล่นดนตรี หรือเดินดูงานศิลปะในหอศิลป์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราละความสนใจจากงาน และสามารถพักผ่อนในวันหยุดได้อย่างดีขึ้นได้
อาจฟังดูเป็นเรื่องปกติที่ไม่ใช่ทุกองค์กรจะให้ความใส่ใจเรื่องของ Work Life Balance ของพนักงานมากสักเท่าไร หากวันใดวันหนึ่งเราต้องทำงานกับองค์กรเหล่านี้ที่ไม่ได้มีการส่งเสริมให้พนักงานมีสมดุลที่ดีระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เราควรมีแนวทางการปฏิบัติตัว ดังนี้
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 9 วิธีสร้าง Work Life Balance ปรับสมดุลการทำงานและชีวิตส่วนตัว ที่เรานำมาแนะนำในบทความนี้ จะเห็นได้ว่าสามารถทำตามได้ไม่ยากเลย สำหรับใครที่มีความเครียดในการทำงานมาก ๆ รู้สึกหมดไฟ รู้สึกอ่อนเพลียเรื้อรัง หรือเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม อย่าลืมที่จะนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ รับรองว่าจะช่วยให้มีชีวิตการทำงานและสุขภาพร่างกายที่ดีมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน