ในปัจจุบัน การทำงานถือเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเราทุกคน แต่หลายคนอาจไม่ทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเองในฐานะลูกจ้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกเอาเปรียบจากนายจ้างได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกฎหมายแรงงานที่สำคัญ เพื่อให้คุณสามารถปกป้องสิทธิของตนเองและทำงานได้อย่างมีความสุข
กฎหมายแรงงาน คือ ชุดของกฎระเบียบและข้อบังคับที่กำหนดขึ้นเพื่อควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง รวมถึงกำหนดสิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการจ้างงาน คุ้มครองสิทธิของลูกจ้าง และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
กฎหมายแรงงานมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมและความมั่นคงให้กับทั้งนายจ้างและลูกจ้าง โดยกฎหมายแรงงานช่วยคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของลูกจ้าง เช่น สิทธิในการได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม การมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย และการได้รับสวัสดิการที่เหมาะสม ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกจ้าง
ในขณะเดียวกัน กฎหมายแรงงานยังช่วยสร้างความชัดเจนในเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบของนายจ้าง ลดความขัดแย้งระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่ดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
การทำงานในองค์กรใด ๆ ก็ตาม ลูกจ้างควรทราบถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบและสามารถเรียกร้องสิทธิได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสิทธิสำคัญที่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้ มีดังนี้
การทำงานในวันปกติ ชั่วโมงการทำงานต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยที่เวลาเริ่มงานและเวลาเลิกงานขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท
กฎหมายแรงงานกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเวลาพักไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน หลังจากทำงานติดต่อกันมาแล้วไม่เกิน 5 ชั่วโมง โดยสามารถตกลงกันให้พักเป็นช่วง ๆ ได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน
อย่างไรก็ตาม นายจ้างอาจงดเว้นการจัดเวลาพักได้ในกรณีที่ลักษณะงานนั้นต้องทำติดต่อกัน หรือเป็นงานฉุกเฉิน โดยต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง สำหรับกรณีนายจ้างต้องการให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาต่อเนื่องเกิน 2 ชั่วโมงจากเวลาทำงานปกติ ต้องจัดให้ลูกจ้างได้พักก่อนเริ่มทำงานล่วงเวลานั้นอย่างน้อย 20 นาที
การทำงานล่วงเวลาต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยมีข้อกฎหมายเกี่ยวกับการทำงานล่วงเวลา ดังนี้
นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุดได้เท่าที่จำเป็น หากลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน หรือเป็นงานฉุกเฉิน แต่สำหรับกิจการโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม สโมสร สมาคม และสถานพยาบาล อาจให้ทำงานในวันหยุดได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อน
กฎหมายแรงงานกำหนดให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นเงินสดเท่านั้น โดยลูกจ้างประจำมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดต่าง ๆ เช่น วันหยุดตามประเพณี วันหยุดพักผ่อน และวันหยุดประจำสัปดาห์ ในขณะที่ลูกจ้างรายวันจะไม่ได้รับค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์ แต่จะได้รับค่าจ้างเมื่อลาป่วย ลาทำหมัน ลาคลอดบุตร หรือลาไปรับราชการทหาร
ทั้งนี้ ลูกจ้างทุกคนมีสิทธิได้รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด และมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง หากทำงานล่วงเวลาในวันทำงานปกติ
สำหรับกรณีทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ ลูกจ้างรายวันจะได้รับค่าจ้างคำนวณตามผลงาน หรือ 2 เท่าของค่าแรง/ชั่วโมง ส่วนลูกจ้างรายเดือนแม้ไม่มาทำงาน ก็มีสิทธิได้รับค่าจ้างอยู่แล้ว แต่หากนายจ้างสั่งให้มาทำงาน นายจ้างต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 เท่าจากค่าจ้าง รวมเป็น 2 เท่า
ส่วนกรณีทำงานในวันหยุดตามประเพณี/วันหยุดพักผ่อนประจำปี ลูกจ้างรายวันจะได้รับค่าจ้างคำนวณตามผลงาน หรือ 1 เท่าของค่าแรง/ชั่วโมง ส่วนลูกจ้างรายเดือนแม้ไม่มาทำงาน ก็มีสิทธิได้รับค่าจ้างอยู่แล้ว แต่หากนายจ้างสั่งให้มาทำงาน นายจ้างต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 เท่าจากค่าจ้าง รวมเป็น 2 เท่า
หากทำงานนอกเหนือจากเวลาทำงานปกติในวันหยุดลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในวันหยุดไม่น้อยกว่า 3 เท่า
ลูกจ้างมีสิทธิได้รับวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 1 วันต่อสัปดาห์ โดยให้มีระยะห่างกันไม่เกิน 6 วัน แต่หลายบริษัทอาจกำหนดนโยบายให้ลูกจ้างหยุดพัก 2 วันต่อสัปดาห์ และทำงานเพียง 5 วัน ซึ่งในวันหยุดพักผ่อนประจำสัปดาห์นี้ นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างตามปกติโดยไม่มีสิทธิหักเงินใด ๆ ทั้งสิ้น
ลูกจ้างมีสิทธิได้รับวันหยุดตามประเพณีไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี โดยได้รับค่าจ้าง ถ้าวันหยุด ตามประเพณี ตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ ให้หยุดชดเชยในวันทำงานถัดไป สำหรับกิจการโรงแรม สถานมหรสพ ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม ฯลฯ อาจตกลงกันหยุดวันอื่นชดเชยวันหยุดตามประเพณี หรือจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้ก็ได้
ลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี มีสิทธิได้รับวันหยุดพักผ่อนประจำปี หรือสิทธิลาพักร้อนไม่น้อยกว่า 6 วันทำงาน โดยได้รับค่าจ้าง ทั้งนี้บริษัทอาจเพิ่มวันลาให้มากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับนายจ้าง แต่ควรสอบถามนายจ้างให้ชัดเจนว่า หากลาพักร้อนไม่ครบ สามารถสะสมไปใช้ปีถัดไป หรือเปลี่ยนเป็นเงินชดเชยได้หรือไม่ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของตนเอง และหากไม่ได้ ก็ควรวางแผนใช้สิทธิลาพักร้อนให้เต็มที่
สิทธิลาป่วย ลากิจ ลาคลอด เป็นสิทธิที่ลูกจ้างทุกคนพึงได้รับและควรใช้ให้เต็มที่ เพราะบางบริษัทอาจไม่ชดเชยเป็นเงินหากลาไม่ครบ เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบ มาดูกันว่ากฎหมายแรงงานให้สิทธิลาป่วย ลากิจ ลาคลอด ได้กี่วันบ้าง
ลูกจ้างลากิจได้อย่างน้อย 3 วันทำงานต่อปี โดยไม่ถูกหักค่าจ้าง แต่ระยะเวลาในการแจ้งล่วงหน้านั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท
นอกจากสิทธิขั้นพื้นฐานแล้ว กฎหมายแรงงานยังครอบคลุมถึงเรื่องการจ้างงานในแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งทั้งนายจ้างและลูกจ้างควรทำความเข้าใจเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
สัญญาจ้างอาจทำเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาก็ได้ แต่ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อป้องกันปัญหา โดยที่สัญญาจ้างต้องไม่มีข้อความที่เอาเปรียบลูกจ้างเกินสมควร
ควรระบุรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งงาน หน้าที่ความรับผิดชอบ อัตราค่าจ้าง และสวัสดิการต่าง ๆ ให้ชัดเจน หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลง ต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย
นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปต้องจัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นภาษาไทย โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับวันทำงาน เวลาทำงาน วันหยุด การลา และระเบียบข้อบังคับ
เมื่อผ่านการทดลองงาน ลูกจ้างจะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ โดยอายุงานจะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน รวมระยะเวลาทดลองงานด้วย
นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้หากมีเหตุผลอันสมควร เช่น ลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ หรือฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานอย่างร้ายแรง โดยต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าก่อนงวดจ่ายเงินเดือนครั้งที่จะถึง และให้การเลิกจ้างมีผลในวันจ่ายเงินเดือนถัดไป
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หมายถึง การเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร ลูกจ้างสามารถร้องเรียนไปยังพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในเขตพื้นที่ที่สำนักงานของนายจ้างตั้งอยู่ และมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด
ลูกจ้างที่ทำงานครบ 120 วันขึ้นไป มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด โดยอัตราค่าชดเชยขึ้นอยู่กับอายุงาน ดังนี้
กรณีที่ลาออกเมื่อครบกำหนดตามสัญญาจ้าง ลูกจ้างสามารถลาออกได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า แต่กรณีที่ยังไม่ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง ควรตรวจสอบสัญญาจ้างว่ามีข้อตกลงเรื่องการแจ้งล่วงหน้าหรือไม่ เช่น กำหนดให้แจ้งล่วงหน้า 30 วัน ก็ควรแจ้งตามที่สัญญาระบุ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม การแจ้งล่วงหน้า 30 วัน หรือ 1 รอบการจ่ายเงินเดือน จะทำให้ได้รับค่าจ้างในเดือนสุดท้ายที่ทำงาน รวมถึงช่วยรักษาความสัมพันธ์อันดีกับนายจ้าง ทำให้นายจ้างมีเวลาหาคนแทนและมีเวลาโอนย้ายงานอย่างเป็นระบบ เผื่ออนาคตอาจได้ร่วมงานกันอีก
ลาออกจากงานหรือมีเหตุให้ออกจากงานโดยสุดวิสัย สามารถลงทะเบียนคนว่างงานเพื่อรับสิทธิเงินชดเชยได้ โดยต้องเป็นผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
กฎหมายแรงงานเป็นเครื่องมือสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของทั้งลูกจ้างและนายจ้าง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแรงงานจะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในการทำงานและลดปัญหาข้อพิพาทแรงงานที่อาจเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม กฎหมายแรงงานมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้น ทั้งนายจ้างและลูกจ้างควรติดตามข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม
สุดท้ายนี้ การทำงานในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ เก้าอี้สำนักงาน ที่ออกแบบตามหลักการยศาสตร์จะช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บจากการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคุณได้อย่างมาก ดังนั้น นายจ้างควรจัดหาอุปกรณ์สำนักงานที่เหมาะสมให้กับพนักงาน เพื่อสุขภาพที่ดีและประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว