กฎหมายแรงงานมีอะไรบ้าง สรุปมาให้ครบที่นี่

September 23, 2024

ใช้เวลาอ่าน 6 นาที

กฎหมายแรงงานมีอะไรบ้าง สรุปมาให้ครบที่นี่

โพสใน

ในปัจจุบัน การทำงานถือเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเราทุกคน แต่หลายคนอาจไม่ทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเองในฐานะลูกจ้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกเอาเปรียบจากนายจ้างได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกฎหมายแรงงานที่สำคัญ เพื่อให้คุณสามารถปกป้องสิทธิของตนเองและทำงานได้อย่างมีความสุข

กฎหมายแรงงานคืออะไร

กฎหมายแรงงาน คือ ชุดของกฎระเบียบและข้อบังคับที่กำหนดขึ้นเพื่อควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง รวมถึงกำหนดสิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการจ้างงาน คุ้มครองสิทธิของลูกจ้าง และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง

ความสำคัญของกฎหมายแรงงาน

กฎหมายแรงงานมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมและความมั่นคงให้กับทั้งนายจ้างและลูกจ้าง โดยกฎหมายแรงงานช่วยคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของลูกจ้าง เช่น สิทธิในการได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม การมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย และการได้รับสวัสดิการที่เหมาะสม ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกจ้าง  

ในขณะเดียวกัน กฎหมายแรงงานยังช่วยสร้างความชัดเจนในเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบของนายจ้าง ลดความขัดแย้งระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่ดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

สิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายแรงงานที่ควรรู้

การทำงานในองค์กรใด ๆ ก็ตาม ลูกจ้างควรทราบถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบและสามารถเรียกร้องสิทธิได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสิทธิสำคัญที่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้ มีดังนี้

เวลาทำงานของลูกจ้างตามกฎหมายแรงงาน

สิทธิเกี่ยวกับค่าจ้างและเวลาทำงาน

กฎหมายแรงงาน ห้ามทํางานเกินกี่ชั่วโมง

การทำงานในวันปกติ ชั่วโมงการทำงานต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยที่เวลาเริ่มงานและเวลาเลิกงานขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท

กฎหมายแรงงานให้ลูกจ้างพักได้กี่ชั่วโมงต่อวัน

กฎหมายแรงงานกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเวลาพักไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน หลังจากทำงานติดต่อกันมาแล้วไม่เกิน 5 ชั่วโมง โดยสามารถตกลงกันให้พักเป็นช่วง ๆ ได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน 

อย่างไรก็ตาม นายจ้างอาจงดเว้นการจัดเวลาพักได้ในกรณีที่ลักษณะงานนั้นต้องทำติดต่อกัน หรือเป็นงานฉุกเฉิน โดยต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง สำหรับกรณีนายจ้างต้องการให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาต่อเนื่องเกิน 2 ชั่วโมงจากเวลาทำงานปกติ ต้องจัดให้ลูกจ้างได้พักก่อนเริ่มทำงานล่วงเวลานั้นอย่างน้อย 20 นาที

การทำงานล่วงเวลา

การทำงานล่วงเวลาต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยมีข้อกฎหมายเกี่ยวกับการทำงานล่วงเวลา ดังนี้ 

  • ในปีที่หนึ่ง ลูกจ้างต้องทำงานล่วงเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 
  • ในปีที่สอง ลูกจ้างต้องทำงานล่วงเวลาไม่เกิน 18 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 
  • ในปีที่สามและปีต่อ ๆ ไป ลูกจ้างต้องทำงานล่วงเวลาไม่เกิน 12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

การทำงานในวันหยุด

นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุดได้เท่าที่จำเป็น หากลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน หรือเป็นงานฉุกเฉิน แต่สำหรับกิจการโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม สโมสร สมาคม และสถานพยาบาล อาจให้ทำงานในวันหยุดได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อน 

เงินค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน

กฎหมายแรงงานกำหนดให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นเงินสดเท่านั้น โดยลูกจ้างประจำมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดต่าง ๆ เช่น วันหยุดตามประเพณี วันหยุดพักผ่อน และวันหยุดประจำสัปดาห์ ในขณะที่ลูกจ้างรายวันจะไม่ได้รับค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์ แต่จะได้รับค่าจ้างเมื่อลาป่วย ลาทำหมัน ลาคลอดบุตร หรือลาไปรับราชการทหาร 

ทั้งนี้ ลูกจ้างทุกคนมีสิทธิได้รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด และมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง หากทำงานล่วงเวลาในวันทำงานปกติ 

สำหรับกรณีทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ ลูกจ้างรายวันจะได้รับค่าจ้างคำนวณตามผลงาน หรือ 2 เท่าของค่าแรง/ชั่วโมง ส่วนลูกจ้างรายเดือนแม้ไม่มาทำงาน ก็มีสิทธิได้รับค่าจ้างอยู่แล้ว แต่หากนายจ้างสั่งให้มาทำงาน นายจ้างต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 เท่าจากค่าจ้าง รวมเป็น 2 เท่า

ส่วนกรณีทำงานในวันหยุดตามประเพณี/วันหยุดพักผ่อนประจำปี ลูกจ้างรายวันจะได้รับค่าจ้างคำนวณตามผลงาน หรือ 1 เท่าของค่าแรง/ชั่วโมง ส่วนลูกจ้างรายเดือนแม้ไม่มาทำงาน ก็มีสิทธิได้รับค่าจ้างอยู่แล้ว แต่หากนายจ้างสั่งให้มาทำงาน นายจ้างต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 เท่าจากค่าจ้าง รวมเป็น 2 เท่า

หากทำงานนอกเหนือจากเวลาทำงานปกติในวันหยุดลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในวันหยุดไม่น้อยกว่า 3 เท่า

วันหยุดตามกฎหมายแรงงานมีวันอะไรบ้าง

สิทธิในวันหยุดและวันลา

กฎหมายแรงงานกำหนดให้มีวันหยุดต่อสัปดาห์เท่าไหร่

ลูกจ้างมีสิทธิได้รับวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 1 วันต่อสัปดาห์ โดยให้มีระยะห่างกันไม่เกิน 6 วัน แต่หลายบริษัทอาจกำหนดนโยบายให้ลูกจ้างหยุดพัก 2 วันต่อสัปดาห์  และทำงานเพียง 5 วัน ซึ่งในวันหยุดพักผ่อนประจำสัปดาห์นี้ นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างตามปกติโดยไม่มีสิทธิหักเงินใด ๆ ทั้งสิ้น

วันหยุดตามประเพณี กฎหมายแรงงานมีกี่วัน

ลูกจ้างมีสิทธิได้รับวันหยุดตามประเพณีไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี โดยได้รับค่าจ้าง ถ้าวันหยุด ตามประเพณี ตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ ให้หยุดชดเชยในวันทำงานถัดไป สำหรับกิจการโรงแรม สถานมหรสพ ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม ฯลฯ อาจตกลงกันหยุดวันอื่นชดเชยวันหยุดตามประเพณี หรือจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้ก็ได้

วันหยุดพักผ่อนประจำปี

ลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี มีสิทธิได้รับวันหยุดพักผ่อนประจำปี หรือสิทธิลาพักร้อนไม่น้อยกว่า 6 วันทำงาน โดยได้รับค่าจ้าง ทั้งนี้บริษัทอาจเพิ่มวันลาให้มากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับนายจ้าง แต่ควรสอบถามนายจ้างให้ชัดเจนว่า หากลาพักร้อนไม่ครบ สามารถสะสมไปใช้ปีถัดไป หรือเปลี่ยนเป็นเงินชดเชยได้หรือไม่ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของตนเอง และหากไม่ได้ ก็ควรวางแผนใช้สิทธิลาพักร้อนให้เต็มที่

ลาป่วย ลากิจ ลาคลอด ตามกฎหมายแรงงาน

สิทธิลาป่วย ลากิจ ลาคลอด เป็นสิทธิที่ลูกจ้างทุกคนพึงได้รับและควรใช้ให้เต็มที่ เพราะบางบริษัทอาจไม่ชดเชยเป็นเงินหากลาไม่ครบ เพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบ มาดูกันว่ากฎหมายแรงงานให้สิทธิลาป่วย ลากิจ ลาคลอด ได้กี่วันบ้าง

ลาป่วยได้กี่วันต่อปี

  • ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง และได้รับค่าจ้างไม่เกิน 30 วันทำงานต่อปี ซึ่งการลาป่วยตั้งแต่วันที่ 31 เป็นต้นไปลูกจ้างจะไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง
  • กรณีลาป่วยตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป นายจ้างอาจขอใบรับรองแพทย์ได้

ลากิจได้กี่วันต่อปี

ลูกจ้างลากิจได้อย่างน้อย 3 วันทำงานต่อปี โดยไม่ถูกหักค่าจ้าง แต่ระยะเวลาในการแจ้งล่วงหน้านั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท

ลาคลอดได้กี่วันต่อปี

  • ลูกจ้างหญิงมีสิทธิลาคลอดได้ไม่เกิน 98 วัน โดยได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่า 45 วัน โดยวันลาจะนับรวมตั้งแต่วันฝากครรภ์​ วันตรวจครรภ์ วันคลอด และจะนับรวมวันหยุดอื่น ๆ ที่มีในระหว่างวันลาด้วย
  • สามารถลาเพื่อตรวจครรภ์ก่อนคลอดได้โดยไม่ถือเป็นวันลาป่วย

วันลาอื่น ๆ ตามกฎหมายแรงงาน

    • ลาทำหมัน ลาได้ตามระยะเวลาที่แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งกำหนดและออกใบรับรอง โดยนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ตามปกติ และไม่นับรวมกับวันลาป่วย
    • ลารับราชการทหาร ลาได้ตามระยะเวลาที่ทางการเรียกตัว โดยนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ไม่เกิน 60 วันต่อปี
  • ลาบวช สำหรับพนักงานบริษัทเอกชน ไม่มีกฎหมายกำหนด ขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัท ถ้าบริษัทไม่มีสวัสดิการลาบวช อาจต้องใช้วันลาพักร้อน หรือลากิจแทน ส่วนข้าราชการลาบวชได้ 120 วัน โดยต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วัน และต้องรับราชการมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน

กฎหมายแรงงานเกี่ยวกับการจ้างงาน

นอกจากสิทธิขั้นพื้นฐานแล้ว กฎหมายแรงงานยังครอบคลุมถึงเรื่องการจ้างงานในแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งทั้งนายจ้างและลูกจ้างควรทำความเข้าใจเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สัญญาจ้างและข้อตกลงในการทำงาน

ญญาจ้างและข้อตกลงในการทำงาน

รูปแบบของสัญญาจ้าง

สัญญาจ้างอาจทำเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาก็ได้ แต่ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อป้องกันปัญหา โดยที่สัญญาจ้างต้องไม่มีข้อความที่เอาเปรียบลูกจ้างเกินสมควร

ข้อตกลงในการทำงาน

ควรระบุรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งงาน หน้าที่ความรับผิดชอบ อัตราค่าจ้าง และสวัสดิการต่าง ๆ ให้ชัดเจน หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลง ต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย

ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน

นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปต้องจัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นภาษาไทย โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับวันทำงาน เวลาทำงาน วันหยุด การลา และระเบียบข้อบังคับ

การทดลองงานและการบรรจุเป็นพนักงาน

การทดลองงานและการบรรจุเป็นพนักงาน

ระยะเวลาทดลองงาน

  • กฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลาทดลองงานไว้ แต่โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 120 วัน ระยะเวลาที่เหมาะสมและเป็นที่นิยมกันคือ 90 วัน
  • ในช่วงทดลองงาน ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
  • หากพนักงานถูกเลิกจ้างหลังจากทำงานมาได้ครบ 120 วันแล้ว บริษัทจะต้องจ่ายค่าชดเชยอย่างต่ำ 1 เดือน

การประเมินผลการทดลองงาน

  • ควรมีการกำหนดเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจนและแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้า
  • ผลการประเมินควรแจ้งให้ลูกจ้างทราบเป็นลายลักษณ์อักษร

การบรรจุเป็นพนักงาน

เมื่อผ่านการทดลองงาน ลูกจ้างจะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ โดยอายุงานจะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน รวมระยะเวลาทดลองงานด้วย

การเลิกจ้างและค่าชดเชย

การเลิกจ้างและค่าชดเชย

การเลิกจ้างที่เป็นธรรม

นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้หากมีเหตุผลอันสมควร เช่น ลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ หรือฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานอย่างร้ายแรง โดยต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าก่อนงวดจ่ายเงินเดือนครั้งที่จะถึง และให้การเลิกจ้างมีผลในวันจ่ายเงินเดือนถัดไป

เลิกจ้างไม่เป็นธรรม เรียกร้องอะไรได้บ้าง

การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หมายถึง การเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร ลูกจ้างสามารถร้องเรียนไปยังพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในเขตพื้นที่ที่สำนักงานของนายจ้างตั้งอยู่ และมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด

ค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง

ลูกจ้างที่ทำงานครบ 120 วันขึ้นไป มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด โดยอัตราค่าชดเชยขึ้นอยู่กับอายุงาน ดังนี้

  • ทำงาน 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ได้รับค่าชดเชย 30 วัน
  • ทำงาน 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ได้รับค่าชดเชย 90 วัน
  • ทำงาน 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี ได้รับค่าชดเชย 180 วัน
  • ทำงาน 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ได้รับค่าชดเชย 240 วัน
  • ทำงาน 10 ปี แต่ไม่ครบ 20 ปี ได้รับค่าชดเชย 300 วัน
  • ทำงาน 20 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชย 400 วัน

ลาออกจากงาน จำเป็นต้องบอกล่วงหน้าไหม

กรณีที่ลาออกเมื่อครบกำหนดตามสัญญาจ้าง ลูกจ้างสามารถลาออกได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า แต่กรณีที่ยังไม่ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง ควรตรวจสอบสัญญาจ้างว่ามีข้อตกลงเรื่องการแจ้งล่วงหน้าหรือไม่ เช่น กำหนดให้แจ้งล่วงหน้า 30 วัน ก็ควรแจ้งตามที่สัญญาระบุ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม การแจ้งล่วงหน้า 30 วัน หรือ 1 รอบการจ่ายเงินเดือน จะทำให้ได้รับค่าจ้างในเดือนสุดท้ายที่ทำงาน รวมถึงช่วยรักษาความสัมพันธ์อันดีกับนายจ้าง ทำให้นายจ้างมีเวลาหาคนแทนและมีเวลาโอนย้ายงานอย่างเป็นระบบ เผื่ออนาคตอาจได้ร่วมงานกันอีก

ลาออกจากงานได้เงินประกันสังคมกี่บาท

ลาออกจากงานหรือมีเหตุให้ออกจากงานโดยสุดวิสัย สามารถลงทะเบียนคนว่างงานเพื่อรับสิทธิเงินชดเชยได้ โดยต้องเป็นผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบไม่ต่ำกว่า 6 เดือน 

  • สำหรับค่าชดเชยกรณีลาออกจากงานเองหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง จะได้รับเงินทดแทน 30% ของค่าจ้าง (คำนวณจากฐานค่าจ้างจริงแต่สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท) ไม่เกิน 90 วันต่อปี
  • สำหรับค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างหรือจ้างออก จะได้รับเงินทดแทน 50% ของค่าจ้าง (คำนวณจากฐานค่าจ้างจริงแต่สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท) ไม่เกิน 180 วันต่อปี

สรุปบทความ

กฎหมายแรงงานเป็นเครื่องมือสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของทั้งลูกจ้างและนายจ้าง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแรงงานจะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในการทำงานและลดปัญหาข้อพิพาทแรงงานที่อาจเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม กฎหมายแรงงานมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้น ทั้งนายจ้างและลูกจ้างควรติดตามข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม

สุดท้ายนี้ การทำงานในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญ เก้าอี้สำนักงาน ที่ออกแบบตามหลักการยศาสตร์จะช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บจากการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคุณได้อย่างมาก ดังนั้น นายจ้างควรจัดหาอุปกรณ์สำนักงานที่เหมาะสมให้กับพนักงาน เพื่อสุขภาพที่ดีและประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว

Latest posts

SEE ALL